Team Assisted Individualization

ความเป็นมา
TAI (Team Assisted Individualization) เป็นเทคนิคการสอนหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยจอห์นอบกินส์ (John Hokpins University) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีนักวิจัยที่คาดว่าวิธีการสอนรายบุคคลน่าจะใช้ได้ดีในรายวิชาคณิตศาสตร์ ช่วงปี ค.ศ.1960-1969 พบว่าการสอนรายบุคคลได้ผลไม่แตกต่างไปจากปกติที่เคยใช้อยู่ เนื่องมาจากสาเหตุที่ครูใช้เวลาในการจัดกระบวนการสอนมากกว่าการสอน การจูงใจในการเรียนยังมีน้อยและการจูงใจส่วนใหญ่ได้จากวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้เรียน ต่อมาในปี ค.ศ.1980 ได้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นเรียนต่างๆ เพื่อศึกษาหาวิธีการสอนที่ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเกิดจากการวิจัยพบว่า เกิดปัญหาสำหรับครูในการเลือกวิธีสอน เพราะในชั้นเรียนหนึ่ง จะประกอบไปด้วย นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันและนักเรียนอ่อนจะถูกเพื่อนมองข้ามไป จากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเริ่มศึกษาวิธีการให้นักเรียนเป็นกลุ่มโดยยึดหลักว่า หากการเรียนการสอนมีการจัดการเสริมแรงและให้มีการรับผิดชอบและช่วยเหลือกันภายในกลุ่มจะทำให้การเรียนดีขึ้น จากการพบว่าการเรียนร่วมมือ (Cooperative Learning) กับการสอนรายบุคคล (Individualized Instruction) จะก่อให้เกิดความช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม ในการแก้ปัญหาต่างๆมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นและโอนการจัดการ เช่น ตรวจคำตอบ การบันทึกคะแนนให้นักเรียนทำ งานของครูจึงลดลง ครูจะมีเวลาสนใจนักเรียนหรือรายบุคคลมากขึ้น ซึ่งเรียกวิธีการใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ว่า TAI
การเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยรายบุคคล (TAI) หมายถึง วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือด้วยวิธี STAD และ TGT มาปรับเข้าด้วยกัน (Slavin, 1984 : 409) เป็นรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคลโดยประยุกต์เอาหลักการเรียนแบบร่วมมือเข้าร่วมกับการเรียนรายบุคคล โดยเป็นรูปแบบของการเรียนแบบกลุ่มให้นักเรียนในกลุ่มทำการศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยกันดำเนินการเรียนและมีการตรวจสอบร่วมกัน มีการช่วยเหลือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียน ครูผู้สอนให้ความอิสระแก่นักเรียนในการที่จะหาความรู้จากกลุ่มเพื่อน กำหนดให้ผู้เรียนมีความสามารถแตกต่างกันมาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยปกติจะมี 4 คน เก่ง 1 คน ปานกลาง 1 คน และอ่อน 1 คน (Slavin, 1990 : 83)
สุรพล ประยงค์พันธ์ (2530 : 17) ได้กล่าวว่าการเรียนด้วยตนเองเป็นกลุ่ม เป็นวิธีการที่ให้นักเรียนเรียนด้วยตนเองเป็นกลุ่ม โดยนักเรียนแต่ละคนจะมีชุดการสอนคนละชุดเพื่อศึกษาเนื้อหาเดียวกัน เมื่อนักเรียนคนใดคนหนึ่งปัญหาในการเรียนก็ปรึกษาหารือกับเพื่อนในกลุ่มได้
สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ (2546: ออนไลน์) ได้กล่าวว่า วิธีการเรียนแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล หมายถึง วิธีการเรียนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน คละเพศและความสามารถ โดยแต่ละคนมีความสามาในการเรียนเนื้อหาจากชุดการเรียนการสอนรายบุคคล เมื่อมีปัญหาหรือไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนตอนใดก็สามารถปรึกษาและช่วยเหลือกันภายในกลุ่มของตนเองได้และจะมีการแข่งขันระหว่างกลุ่มโดยดูจากคะแนนของกลุ่ม ซึ่งได้จากการทำแบบทดสอบรายบุคคลของสมาชิกทุกคนในกลุ่มร่วมกัน
ประภัสรา โคตะขุน (2556: ออนไลน์) การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
จากความหมายของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคลโดยประยุกต์เอาหลักการเรียนแบบร่วมมือ(Cooperative Learning) เข้าร่วมกับการเรียนรายบุคคล (Individualized Instruction) โดยเป็นรูปแบบของการเรียนแบบกลุ่มให้นักเรียนในกลุ่มทำการศึกษา ลงมือปฏิบัติและมีการเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยกันดำเนินการเรียนและการตรวจสอบร่วมกัน มีการช่วยเหลือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียน ครูผู้สอนให้ความอิสระแก่นักเรียนในการที่จะหาความรู้จากกลุ่มเพื่อน เกิดการการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กำหนดให้ผู้เรียนมีความสามารถแตกต่างกันมาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยปกติจะมี 4 คน เก่ง 1 คน ปานกลาง 1 คน และอ่อน 1 คน
ขั้นตอนการจัดกิจกรรม
สลาวิน (Slavin, 1995: 102-104) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI มีขั้นตอนกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้
-
การจัดกลุ่ม (Teams) ในการจัดกลุ่มจะแบ่งนักเรียนตามระดับความสามารถทางการเรียนเป็นกลุ่มๆละ ประมาณ 4-5 ที่มีความสามารถทางการเรียนแตกต่างกัน
-
การทดสอบความรู้พื้นฐานเพื่อจัดตำแหน่ง (Placement Test) นักเรียนจะได้รับการทดสอบก่อนเรียนตอนเริ่มต้นโปรแกรมการเรียนในพื้นฐานของเนื้อหาเรื่องนั้นๆ เพื่อตรวจสอบระดับความรู้ของนักเรียน เพื่อจัดตำแหน่งที่เหมาะสมในการเรียนซึ่งขึ้นอยู่กับคะแนนที่ได้ในการสอบ
-
บทเรียนตามหลักสูตร (Curriculum Materials) โดยส่วนใหญ่ในการสอนคณิตศาสตร์ นักเรียนจะได้เรียนรู้ในเรื่องต่างๆด้วยตนเอง
-
เอกสารแนะนำบทเรียน ซึ่งนักเรียนจะได้รับการแนะนำจากครูผู้สอนในขณะเรียนโดยมีการอธิบายอย่างเป็นลำดับขั้น
-
แบบฝึกทักษะ
-
แบบทดสอบท้ายบท ซึ่งจะทดสอบเมื่อเรียนจบหน่วย
-
-
การศึกษาเป็นกลุ่ม (Team Study) จากการทดสอบความรู้พื้นฐานทำให้นักเรียนแต่ละคนได้รับแบบฝึกหัดในจำนวนที่แตกต่างกันตามระดับความสามารถทางการเรียนของตนเอง นักเรียนจะศึกษาในกลุ่มของต้นเองตามลำดับนี้
-
สมาชิกในกลุ่มทำการจับคู่ 2 หรือ 3 คนภายในกลุ่มของตนเอง เพื่อทำการตรวจสอบซึ่งกันและกันและซักถามครูหากไม่เข้าใจ
-
นักเรียนอ่านคำแนะนำในเอกสารของตนและถามเพื่อน หรือครู เพื่อช่วยเหลือเมื่อจำเป็น จากนั้นเริ่มฝึกทักษะในแบบฝึกหัด
-
นักเรียนแต่ละคนจะฝึกทักษะในแบบฝึกหัดและให้เพื่อนตรวจคำตอบจากกระดาษเฉลย ถ้าทำถูกนักเรียนจะได้ทำแบบฝึกหัดข้อถัดไป ถ้าทำผิดจะต้องพยายามทำจนถูกหมดข้อใดข้อหนึ่ง หากนักเรียนพบปัญหาที่ยากให้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนได้ก่อนถามครู
-
เมื่อนักเรียนทำแบบฝึกทักษะตอนสุดท้ายได้ครบทุกข้อ นักเรียนจะได้ทำแบบทดสอบย่อยฉบับแรก มีลักษณะคล้ายกับการฝึกทักษะ ซึ่งมีเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป
-
นักเรียนจะนำแบบทดสอบย่อยผ่านการรับรองจากเพื่อนในกลุ่มแล้ว จากนั้นก็รับแบบทดสอบประจำหน่วย
-
-
คะแนนและความสำเร็จของกลุ่ม (Team Scores and Team Recognition) แต่ละสัปดาห์ ครูจะทำการคำนวณคะแนนของนักเรียนโดยคิดคะแนนจากคะแนนที่ได้ของแต่ละคน โดยนำมาเฉลี่ยเพื่อเป็นคะแนนของกลุ่มเทียบกับคะแนนเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้
-
การสอนกลุ่มย่อย (Teaching Groups) ในแต่ละชั่วโมงครูจะสอนนักเรียนจากกลุ่มต่างๆที่มีปัญหาไม่เข้าใจบทเรียนในเรื่องเดียวกันในกลุ่มเล็กๆ เมื่อนักเรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนแล้ว ครูจะให้นักเรียนกลับเข้ากลุ่มตนเองเพื่อฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ในเรื่องที่เรียนร่วมกันกับเพื่อนในกลุ่มต่อไป
รัชนี งอกศิริ (2549: 38) ได้อธิบายขั้นตอนกิจกรรมการเรียนรู้ของการเรียนการสอนรูปแบบ TAI ดังนี้
-
การจัดกลุ่ม (Team) นักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน คละเพศและความสามารถ
-
การทดสอบเพื่อการเรียนเนื้อหาที่เหมาะสม (Placement Test) นักเรียนทุกคนจะถูกทดสอบก่อนเรียนเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมในการเรียนเนื้อหา
-
เนื้อหาและวัสดุหลักสูตร (Curriculum Test) หลังจากผู้สอนสอนบทเรียนแล้ว นักเรียนจะทำงานในกลุ่มของตน โดยมีสื่อหรือวัสดุหลักสูตรการสอนด้วยตนเองที่ครอบคลุมเนื้อหา ซึ่งอยู่ในรูปแบบของแบบฝึกทักษะ โดยมีส่วนประกอบดังนี้
-
เอกสารแนะนำบทเรียน ทำหน้าที่อธิบายทักษะที่ต้องฝึกและให้วิธีการแก้ปัญหาทำแบบฝึกเป็นขั้นตอน
-
แบบฝึกทักษะ
-
แบบทดสอบย่อย (Formative test)
-
แบบทดสอบประจำหน่วยการเรียน (Unit test)
-
แผ่นคำตอบแบบฝึกทักษะ
-
-
การเรียนเป็นกลุ่ม (Team Study) นักเรียนจะเริ่มฝึกทักษะตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้ของหน่วยการเรียน โดยจะทำแบบฝึกทักษะภายในกลุ่มตามลำดับ ดังนี้
-
สมาชิกของแต่ละกลุ่มทำการจับคู่กันเพื่อทำการตรวจสอบซึ่งกันและกัน
-
นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียนและถามผู้สอนเมื่อไม่เข้าใจ
-
นักเรียนแต่ละคนเริ่มทำแบบฝึกหัดจากโจทย์ปัญหาทีละขั้นตอน ให้เพื่อนร่วมทีมตรวจคำตอบจากเฉลยของแบบฝึกหัด ถ้าพบว่านักเรียนไม่ผ่านข้อใด กลุ่มจะต้องช่วยอธิบายหรือสอนสมาชิกให้เข้าใจ จนกว่าจะผ่าน
-
เมื่อนักเรียนทั้งกลุ่มทำแบบฝึกทักษะได้ถูกต้องครบแล้ว ต่อไปผู้สอนจะให้นักเรียนทำแบบทดสอบย่อย
-
เมื่อนักเรียนทำแบบทดสอบย่อยผ่านแล้ว นักเรียนจะได้รับแบบทดสอบประจำหน่วย ให้หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้บันทึกคะแนน เพื่อส่งกับผู้สอนนำไปเปรียบเทียบกับคะแนนมาตรฐาน
-
คะแนนและความสำเร็จของกลุ่ม (Team Scores and Team Recognition) ในวันสุดท้ายของแต่ละสัปดาห์ ผู้สอนจะทำการรวบรวมคะแนนกลุ่ม ซึ่งได้จากการนำเอาคะแนนที่สมาชิกแต่ละคนได้รับจากการทำแบบทดสอบประจำ โดยนำมาเฉลี่ยเพื่อเป็นคะแนนของกลุ่มเทียบกับคะแนนเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้
-
การสอนกลุ่มย่อย (Teaching Groups) ในแต่ละชั่วโมงครูจะสอนนักเรียนจากกลุ่มต่างๆที่มีปัญหาไม่เข้าใจบทเรียนในเรื่องเดียวกันในกลุ่มเล็กๆ เมื่อนักเรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนแล้ว ครูจะให้นักเรียนกลับเข้ากลุ่มตนเองเพื่อฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ในเรื่องที่เรียนร่วมกันกับเพื่อนในกลุ่มต่อไป
-
การทดสอบข้อเท็จ-จริง (Fact Test)
-
การสอนรวมทั้งชั้น (Whole-Class Units) ผู้สอนทำการสอนสรุปบทเรียนให้กับนักเรียนทั้งห้อง โดยครอบคลุมเนื้อหาและทักษะของบทเรียน

สุรพงษ์ เวียงทอง (2551: 31) กล่าวถึงขั้นตอนกิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค TAI ดังนี้
1. ครูต้องลดบทบาทในการจัดการและตรวจผลงานนักเรียน
2. ครูต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในการสอนและการตรวจผลงานของกลุ่มเล็กในแต่ละบทเรียน
3. การจัดระบบการเรียนการสอนต้องง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้นักเรียนดำเนินการแทนครูได้
4. เอกสารประกอบหน่วยการเรียน ต้องกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้อยากเรียนและศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่าถูกต้องและรวดเร็ว
5. ควรมีการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจพื้นฐานของนักเรียนก่อนเริ่มการเรียน
6. นักเรียนสามารถตรวจผลงานของเพื่อนสมาชิกในกลุ่มได้ โดยตรวจผลงานจะต้องง่าย ไม่ซับซ้อนและไม่เป็นปัญหาต่อผู้ตรวจ
7. ระบบการจัดการเรียนการสอนต้องง่ายสำหรับครูและนักเรียน ไม่สิ้นเปลือง ยืดหยุ่นได้
8. รูปแบบการสอนต้องมีเงื่อนไขในการสร้างทัศนคติในทางบวกของนักเรียนต่อเพื่อนักเรียน โดยการจัดให้มีการร่วมมือกันทำงานในกลุ่มย่อย การพึ่งพาซึ่งกันและกันในเชิงวิชาการ และยอมรับคุณค่าซึ่งกันและกัน
ประภัสรา โคตะขุน (2556: ออนไลน์) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ดังนี้
-
จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน
-
ทดสอบจัดระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได้
-
นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียน ทำกิจกรรมจากสื่อที่ได้รับ เสร็จแล้วส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
-
ตอบถูกหมดทุกข้อ ให้เรียนต่อ
-
ตอบผิดบ้างให้ซักถามเพื่อนในกลุ่มเพื่อช่วยเหลือก่อนที่จะถามครู
-
-
เมื่อนักเรียนทำแบบฝึกหัดทักษะในสื่อที่ได้เรียนจบแล้ว
-
ทดสอบย่อยฉบับ A เป็นรายบุคคล ส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจ ถ้าได้คะแนน 75%ขึ้นไป ถือว่าผ่าน
-
2. ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 75% ให้ไปเรียนจากสื่อที่ศึกษาไปแล้วอีกครั้ง แล้วทดสอบฉบับ B เป็นรายบุคคล
5.ทดสอบนักเรียนด้วยแบบทดสอบประจำหน่วย (Unit Test) ถ้าไม่ผ่าน 75% ผู้สอนจะพิจารณาแก้ไข . ปัญหาอีกครั้ง
6.ครูคิดคะแนนเฉลี่ยของแต่ละกลุ่ม แล้วจัดอันดับดังนี้
-
กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์สูง ได้เป็น Super Team (ยอดเยี่ยม)
-
กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ปานกลาง ได้เป็น Great Team (ดีมาก)
-
กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ต่ำ ได้เป็น Good Team (ดี)

สรุปได้ว่า
1) จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม (Team) กลุ่มละประมาณ 4-5 คน นักเรียนคละเพศและคละความสามารถกัน
2) ทดสอบเพื่อจัดระดับ (Placement Test) ตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหาและความรู้ของนักเรียน
3) บทเรียนตามหลักสูตร (Curriculum Materials) ครูสอนเนื้อหาบทเรียนใหม่ให้กับนักเรียน ให้นักเรียนทุกคนในกลุ่มทำแบบฝึกหัดหน่วยย่อยโดยหากไม่เข้าใจให้ถามเพื่อนก่อนจึงจะถามครู
4) เมื่อนักเรียนทำแบบฝึกหัดของหน่วยนั้นๆจบแล้วจะมีการทดสอบย่อย โดยนักเรียนต้องผ่านตามเกณฑ์
5) หลังจากทดสอบย่อยผ่านแล้วให้นักเรียนรับการทดสอบประจำหน่วย (Unit Test)
6) ครูคิดคะแนนเฉลี่ยของแต่ละกลุ่ม